
จากกรณีตำรวจ ภาค 1 จับกุมตัว ด.ต.บุญสืบ ชุ่มยิ้ม อายุ 48 ปี ผบ.หมู่งานสืบสวน สภ.พระนครศรีอยุธยา และนางกาญจนา ปินตา อายุ 44 ปี ภรรยา พร้อมยาบ้า 12,000 เม็ด พร้อมตรวจยึดทรัพย์สินจำนวนมาก ก่อนออกหมายจับ ร.ต.ท.มานพ เอี่ยมสำอางค์ อายุ 46 ปี ร.ต.ต.ประมาณ วอนกล่ำ อายุ 54 ปี รอง สว.สส. ด.ต.ทรงวุฒิ แสนใจ อายุ 50 ปี และ ด.ต.ฉลวย กลิ่นโกสุม อายุ 44 ปี ผบ.หมู่งานสืบสวน สภ.พระนครศรีอยุธยา ที่ร่วมยักยอกบ้า พร้อมสั่งให้ออกจากราชการ อีกทั้งสั่งเด้ง 4 เสือสภ.พระนครศรีอยุธยา มาประจำศปก.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา ฐานปล่อยให้ลูกน้อง ยักยอกนำยาบ้าของกลางไปขาย ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ความคืบหน้าล่าสุดวันที่ 15 มิ.ย. ที่ สภ.พระนครศรีอยุธยา พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รอง ผบ.ตร. พล.ต.ต.เสริมคิด สิทธิชัยกานต์ ผบก.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา ติดตามความคืบหน้าของคดีดังกล่าว ก่อนเปิดเผยว่า ผบ.ตร. กำชับให้มาติดตามความคืบหน้าของคดี รวมถึงสอบถามตัวผู้ต้องหาถึงปัญหาและแรงจูงใจที่ทำให้กระทำความผิด ซึ่งได้ข้อมูลจาก ด.ต. บุญสืบมากพอสมควร ว่าได้เข้ามาปฏิบัติหน้าที่เรื่องของยาเสพติดแล้ว ซึ่งพบว่ามีแรงจูงใจจากยาเสพติดมีผลประโยชน์มาก ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะต้องนำไปรับปรุงแก้ไข วันนี้ทาง พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน ผบช.ภ.1 ได้เรียกเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับยาเสพติดทั้งจังหวัด จำนวน 286 นาย มาพูดคุยแบบเปิดอก ว่าใครทนต่อแรงจูงใจไม่ได้ หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในส่วนนี้ได้ จะให้ไปปฏิบัติหน้าที่อื่น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ด.ต.บุญสืบ ได้ร้องเรียนด้วยการเขียนลงในกระดาษว่า ทรัพย์สินของตนเองที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจยึดมีทรัพย์สินเป็นพระเครื่อง ราคาแพงและผ้ายันต์ได้หายไป
ด้านนางจรรยา ภรรยาของ ด.ต.ทรงวุฒิ หนึ่งในผู้ถูกออกหมายจับเปิดเผยว่า ขอเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับสามีของพวกตน ที่ผ่านมาติดตามจับกุมคดีสำคัญได้หลายคดี อยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ และทหารที่เข้าไปจับกุมด้วยวันเกิดเหตุ ออกมาให้ข้อมูลว่าเรื่องจริงเป็นอย่างไร